ติงศักดิ์ เหลืองเจริญทิพย์
ฝ่ายห้องปฏิบัติการวิศวกรรม 2 ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
Email: tingsak@sut.ac.th
1. บทนำ
การทดสอบความต้านแรงอัด (Compressive Strength) ของแท่งคอนกรีตรูปทรงกระบอกซึ่งได้จากการหล่อตัวอย่างคอนกรีตในแบบหล่อมาตรฐานนั้น ส่วนใหญ่จะใช้แท่งทดสอบรูปทรงกระบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 150 มม. ความสูง 300 มม. ส่วนแท่งทดสอบซึ่งได้จากการเจาะจากโครงสร้างคอนกรีตที่ได้ก่อสร้างไปแล้วนั้น ต้องเป็นรูปทรงกระบอกและมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 100 มม. และความยาวของแท่งทดสอบเมื่อยังไม่เคลือบปลายทั้งสองต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของเส้นผ่านศูนย์กลาง (วิธีทดสอบความต้านแรงอัดของแท่งคอนกรีต มอก.409-2525)
กรณีที่แท่งทดสอบซึ่งได้จากการเจาะมีส่วนสูงน้อยกว่า 2 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลาง ต้องแก้ไขค่าความต้านแรงอัดที่คำนวณได้ โดยใช้ตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด (Correction Factor) ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลาง กับตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด
(วิธีทดสอบความต้านแรงอัดของแท่งคอนกรีต มอก.409-2525)
ในกรณีที่อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของแท่งทดสอบ,(L/D) อยู่ระหว่างค่าที่ให้ไว้ในตาราง จะต้องประมาณค่าของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด ในที่นี้จะใช้วิธีการประมาณค่าในช่วงเชิงเส้น (Linear Interpolation) และเพื่อความสะดวกในการคำนวณผลการทดสอบ จะใช้ฟังก์ชันต่างๆใน Excel Microsoft มาช่วยเพื่อให้การคำนวณเป็นไปโดยอัตโนมัติ ตามวิธีการในหัวข้อต่อไป
2. การประมาณค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดโดยวิธีการประมาณค่าในช่วงเชิงเส้น
การประมาณค่าของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด โดยวิธีการประมาณค่าในช่วงเชิงเส้นมีวิธีการดังต่อไปนี้
2.1 ป้อนข้อมูลผลการทดสอบความต้านแรงอัดแท่งคอนกรีต
จากข้อมูลผลการทดสอบความต้านแรงอัดแท่งคอนกรีตรูปทรงกระบอกซึ่งได้จากการเจาะ จำนวน 3 ตัวอย่าง ป้อนข้อมูลลงใน Microsoft Excel พร้อมทั้งคำนวณ
- อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของแท่งทดสอบ,(L/D) ในเซล D4:D6
- พื้นที่ภาคตัดขวางของแท่งคอนกรีต ในเซล E4:E6
- ความต้านแรงอัดแท่งคอนกรีต ในเซล G4:G6
ตามรูปที่ 1
รูปที่ 1 ข้อมูลการทดสอบความต้านแรงอัดแท่งคอนกรีตซึ่งได้จากการเจาะ
จะพบว่าอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางของแท่งทดสอบ ,(L/D) ของตัวอย่างแท่งคอนกรีตทั้งหมดมีค่าน้อยกว่า 2 และอยู่ระหว่างค่าต่างๆที่ให้ไว้ในตารางที่ 1 ดังนั้นจะต้องแก้ไขค่าความต้านแรงอัดที่คำนวณได้ โดยต้องประมาณค่าของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดจากตารางที่ 1
2.2 การประมาณค่าในช่วงเชิงเส้น (Linear Interpolation)
การประมาณค่าในช่วงเชิงเส้น (Linear Interpolation) สามารถแสดงได้ดังนี้ (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 การประมาณค่าในช่วงเชิงเส้น (Linear Interpolation)
เมื่อทราบค่า (x1, y1) และ (x2, y2) แล้ว สามารถประมาณค่าของ y สำหรับ x เมื่อ x1 <= x <= x2 จากสมการ
…………………………………..(1)
2.3 การประมาณค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด
- ป้อนข้อมูล อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลาง กับตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด จากตารางที่ 1 โดยเรียงลำดับใหม่จากค่าน้อยไปหาค่ามาก และเพิ่มข้อมูลอีก 1 ชุด ที่อัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางเป็น 2.00 ตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดมีค่าเท่ากับ 1.00 ตามรูปที่ 3
- ตั้งชื่อค่าต่างๆของอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลาง โดยเลือกช่วงข้อมูล D11:D15 แล้วคลิกที่ Name Box ป้อนชื่อช่วงข้อมูลเป็น dataLD กด Enter ตามรูปที่ 4
- ตั้งชื่อค่าต่างๆของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด โดยเลือกช่วงข้อมูล E11:E15 แล้วคลิกที่ Name Box ป้อนชื่อช่วงข้อมูลเป็น dataFactor กด Enter ตามรูปที่ 5
|
|
|||
รูปที่ 3 ตาราง L/D vs Correction Factor | รูปที่ 4 ตั้งชื่อช่วงข้อมูล dataLD | รูปที่ 5 ตั้งชื่อช่วงข้อมูล dataFactor |
ตัวอย่างการคำนวณของตัวอย่างแท่งคอนกรีต หมายเลข 1 ที่มีค่า L/D = 1.60 (ตามรูปที่ 6) มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
รูปที่ 6 ตัวอย่างการคำนวณของตัวอย่างแท่งคอนกรีต หมายเลข 1
(1) หาตำแหน่งของค่า L/D ที่มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.60 โดย
คลิกเซล K4 ป้อนสูตร =MATCH(D4,dataLD) จะได้ผลลัพธ์ในเซล K4 เป็น 3
กล่าวคือ ค่า L/D ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.60 จะอยู่ในตำแหน่งที่ 3 ของช่วงข้อมูล dataLD (เซล C11..C15)
(2) ตำแหน่งของค่า L/D ที่มีค่ามากกว่า 1.60 จะเป็นตำแหน่งถัดไปคือตำแหน่งที่ 4 หรือ เท่ากับ K4+1
คลิกเซล L4 ป้อนสูตร = K4+1 ) จะได้ผลลัพธ์ในเซล L4 เป็น 4
รูปที่ 7 แสดงตำแหน่งของค่า L/D
(3) ที่ตำแหน่งของค่า L/D ที่มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1.60 (ตำแหน่งของค่า L/D ที่ 3)
- หาค่า L/D โดยคลิกเซล M4 ป้อนสูตร =INDEX(dataLD,K4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล M4 เป็น 1.50
- หาค่าของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด โดยคลิกเซล O4 ป้อนสูตร =INDEX(dataFactor,K4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล N4 เป็น 0.97
(4) ที่ตำแหน่งของค่า L/D ที่มีค่ามากกว่า หรือเท่ากับ 1.60 (ตำแหน่งของค่า L/D ที่ 4)
- หาค่า L/D โดยคลิกเซล N4 ป้อนสูตร =INDEX(dataLD,L4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล N4 เป็น 1.75
- หาค่าของตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัด โดยคลิกเซล P4 ป้อนสูตร =INDEX(dataFactor,L4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล P4 เป็น 0.99
(5) จะได้ค่า x1,x2,y1,y2 ตามสมการที่ 1 และสามารถหาค่า y ที่ x = 1.60 โดย
คลิกเซล Q4 ป้อนสูตร =O4+(D4-M4)*(P4-O4)/(N4-M4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล Q4 เป็น 0.9780
ซึ่งเป็นค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดโดยวิธีการประมาณในช่วงเชิงเส้นตามต้องการ
(6) สามารถคำนวณค่า y ที่ x = 1.60 โดยใช้ฟังก์ชัน TREND ที่มีใน Microsoft Excel ได้โดย
คลิกเซล R4 ป้อนสูตร =TREND(O4:P4,M4:N4,D4) จะได้ผลลัพธ์ในเซล R4 เป็น 0.9780 เช่นเดียวกัน
(7) คัดลอกเซล K4..R4 มาที่เซล K5..R5 และ K6..R6
จะได้ค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดของตัวอย่างทั้งสาม ตามรูปที่ 8
รูปที่ 8 ผลการคำนวณค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดของตัวอย่างทั้งสาม
(8) คำนวณค่าความต้านแรงอัดที่ปรับแก้ โดย
- คลิกเซล H4 ป้อนสูตร =Q4 จะได้ผลลัพธ์ในเซล H4 เป็น 0.9780
- คลิกเซล I4 ป้อนสูตร =G4*H4 จะได้ผลลัพธ์ในเซล I4 เป็น 273.95
- คัดลอกเซล H4..I4 มาที่เซล H5..I5 และ H6..I6 จะได้ค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดและค่าความต้านแรงอัดที่ปรับแก้แล้วของตัวอย่างทั้งสาม ตามรูปที่ 9
รูปที่ 9 ผลการคำนวณความต้านแรงอัดที่ปรับแก้แล้ว
3. สรุป
วิธีการประมาณค่าตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดสำหรับการทดสอบแท่งคอนกรีตซึ่งได้จากการเจาะ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ตามที่ได้แสดงมาแล้วนั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานอื่นๆได้ เช่น การประมาณค่าสัมประสิทธิ์ของโมเมนต์สำหรับแผ่นพื้นสองทางในการออกแบบพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก การประมาณค่าความหนาแน่นของน้ำที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศที่ทำการทดลองจากตารางอ้างอิง เป็นต้น
อนึ่ง ตารางอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางกับตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดที่ใช้ในตัวอย่างการคำนวณตามตารางที่ 1 นั้น อ้างอิงจากมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิธีทดสอบความต้านแรงอัดของแท่งคอนกรีต มอก.409-2525 ซึ่งจะมีความแตกต่างอยู่บ้างจากตารางอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางกับตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดตาม Standard Test Method for Compressive Strength of Cylindrical Concrete Specimens: ASTM C39/C39M – 10 เนื่องจาก มอก.409-2525 นั้น กำหนดขึ้นตาม ASTM C39-72 ดังนั้น จึงต้องเลือกใช้ตารางอัตราส่วนความสูงต่อเส้นผ่านศูนย์กลางกับตัวคูณที่ใช้แก้ไขค่าความต้านแรงอัดตามมาตรฐานการทดสอบที่ใช้ในการทดสอบ
********************************************
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. (2543). มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วิธีทดสอบความต้านแรงอัดของแท่งคอนกรีต มอก.409-2525. พิมพ์เพิ่มเติมครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ.
American Society for Testing and Materials. ASTM C39/C39M – 10 Standard Test Method for Compressive Strength of Cylindrical Concrete Specimens: . Philadelphia, PA : ASTM.
Normally I’m against kilinlg but this article slaughtered my ignorance.
Thuohgt it wouldn’t to give it a shot. I was right.